วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ชนิดของข้อมูลเเละตัวเเปรในภาษาซี

ชนิดของข้อมูล (data type) ในการเขียนโปรแกรมหนึ่งๆ จะมีข้อมูลต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเช่น
การนับจำนวนรอบ (loop) ของการทำงานโดยใช้ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม หรือการแสดงข้อความ
โดยใช้ข้อมูลชนิดตัวอักษร จะเห็นว่าข้อมูลต่างๆ ถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิดตามจุดประสงค์ของการใช้งาน
นอกจากนี้ข้อมูลแต่ละชนิด ยังใช้เนื้อที่หน่วยความจำ (memory) ไม่เท่ากันจึงมีการแบ่งชนิดของข้อมูล
ดังแสดงในตารางด้านล่าง

ตัวแปร (variable) เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บอยู่ในหน่วยความจำ การอ้างถึงตำแหน่งของข้อมูลนี้
จึงมีความซับซ้อน ไม่สะดวกต่อการเขียนโปรแกรม จึงมีการเรียกหน่วยความจำ ในตำแหน่งที่สนใจผ่านตัวแปร

การประกาศตัวแปร (variable declaration) คือการจองเนื้อที่ในหน่วยความจำสำหรับเก็บค่าบางอย่าง
พร้อมทั้งกำหนดชื่อเรียกแทนหน่วยความจำในตำแหน่งนั้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมมีความสะดวกในการเข้าถึง
ค่าที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำดังกล่าว

รูปแบบการประกาศตัวแปร 


type variable-name;
โดย
type คือชนิดของตัวแปร (ตามตารางด้านล่าง)
variable-name คือชื่อของตัวแปร (ควรตั้งชื่อให้มีความหมายสอดคล้องกับการใช้งานและจำง่าย)

ตัวอย่างการประกาศตัวแปรแบบต่างๆ
int num; /*ประกาศตัวแปรชนิิดจำนวนเต็ม ชื่อ num*/
float x;
char grade, sex; /*ประกาศตัวแปรชนิิดอักขระ ชื่อ grade และ sex (ประกาศพร้อมกันในบรรทัดเดียว)*/
float temp = 123.45; /*ประกาศตัวแปรชนิดเลขทศนิยมพร้อมกำหนดค่า 123.45*/
char c = "A", t = "B"; /*ประกาศตัวแปรชนิดอักขระสองตัว พร้อมกำหนดค่าให้แต่ละตัว*/
int oct = 0555; /*ประกาศตัวแปรชนิดจำนวนเต็มชื่อ num พร้อมกำหนดค่าคือ 555 (เป็นเลขฐานแปดเพราะมี 0 นำหน้า)*/
int hex = 0x88; /*ประกาศตัวแปรชนิดจำนวนเต็มชื่อ hex พร้อมกำหนดค่าคือ 88 (เป็นเลขฐาน 16 เพราะมี 0x นำหน้า)*/

ข้อควรระวัง!!
ชื่อตัวแปรจะต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรหรือเครื่องหมาย "_" เท่านั้น
ภายในชื่อตัวแปรให้ใช้ตัวอักษร, ตัวเลข 0-9 หรือเครื่องหมาย "_"
ห้ามมีช่องว่างในชื่อตัวแปร
อักษรตัวพิมพ์เล็ก-ใหญ่ มีความแตกต่างกัน (case sensitive) เช่น Name, NAME และ name
ถือเป็นชื่อที่แตกต่างกัน
ห้ามซ้ำกับชื่อตัวแปรสงวน (reserved word)
ตัวแปรชนิดข้อความ (string)
ถ้าเราต้องการเก็บข้อความ "C programming language" ไว้ในตัวแปร จะทำได้อย่างไร?

ที่ผ่านมาเราทราบว่าเราสามารถเก็บข้อมูลชนิดตัวอักขระไว้ในตัวแปรชนิด char ได้ แต่ตัวแปรชนิด char นั้น
สามารถเก็บตัวอักขระได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ไม่สามารถเก็บทั้งข้อความได้ แล้วเราจะแก้ปัญหาได้อย่างไร?

หากพิจาณาให้ดี ข้อความดังกล่าวประกอบด้วยตัวอักขระ (ตัวอักษร+สัญลักษณ์) หลายๆ ตัวเรียงต่อกันเป็นสาย
ซึ่งเป็นลักษณะของตัวแปรแบบ array (จะได้กล่าวภายหลัง)

การประกาศตัวแปรแบบ array เพื่อเก็บข้อมูลดังกล่าวสามารถทำได้ดังนี้
type variable-name[size];
โดย
size คือขนาดของข้อความ+1 โดยขนาดที่เพิ่มขึ้นเพราะต้องเก็บอักขระสุดท้ายของข้อความเป็นอักขระ
\0 หรือ NULL เพื่อบอกว่าสิ้นสุดข้อความแล้ว

ตัวอย่างการประกาศตัวแปรแบบ array เพื่อเก็บข้อความ "C programming language" (22 ตัวอักษร)
ทำได้หลายวิธีดังนี้
char[23] text = "C programming language";
/*กำหนดขนาดเพิ่มขึ้น 1 ตัว สำหรับเก็บค่า \0 หรือ NULL ในตำแหน่งสุดท้าย*/

char[23] text = {'C',' ','p','r','o','g','r','a','m','m','i','n','g',' ','l','a','n','g','u','a','g','e','\0'};
/*กำหนดขนาดเพิ่มขึ้น 1 ตัว สำหรับเก็บค่า \0 หรือ NULL ในตำแหน่งสุดท้าย*/

char[] text = "C programming language";
/*ถ้าไม่กำหนดขนาดของ array แล้ว ตัวแปรภาษาซีจะกำหนดให้โดยมีขนาดเท่ากับขนาดข้อความ+1*/

นอกจากนี้เรายังสามารถแก้ไขตัวอักษรที่เก็บอยู่ใน array ได้โดยการอ้างอิงตำแหน่งเช่น
text[0] = 'A'; /*แก้ตัวอักษรตัวแรก (เริ่มนับจาก 0) จะได้ผลลัพธ์คือ A programming language*/
text[2] = ' '; /*ผลลัพธ์คือ A  rogramming language (ใส่ช่องว่างแทนตัว p)*/


ชนิดของตัวแปรในภาษาซี
ชนิดของตัวแปร ขนาด (bits) ขอบเขต ข้อมูลที่เก็บ
char
8
-128 ถึง 127
ข้อมูลชนิดอักขระ ใช้เนื้อที่ 1 byte
unsigned char
8
0 ถึง 255
ข้อมูลชนิดอักขระ ไม่คิดเครื่องหมาย
int
16
-32,768 ถึง 32,767
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม ใช้เนื้อที่ 2 byte
unsigned int
16
0 ถึง 65,535
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม ไม่คิดเครื่องหมาย
short
8
-128 ถึง 127
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบสั้น ใช้เนื้อที่ 1 byte
unsigned short
8
0 ถึง 255
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบสั้น ไม่คิดเครื่องหมาย
long
32
-2,147,483,648 ถึง 2,147,483,649
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบยาว ใช้เนื้อที่ 4 byte
unsigned long
32
0 ถึง 4,294,967,296
ข้อมูลชนิดจำนวนเต็มแบบยาว ไม่คิดเครื่องหมาย
float
32
3.4*10e(-38) ถึง 3.4*10e(38)
ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม ใช้เนื้อที่ 4 byte
double
64
3.4*10e(-308) ถึง 3.4*10e(308)
ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม ใช้เนื้อที่ 8 byte
long double
128
3.4*10e(-4032) ถึง 1.1*10e(4032)
ข้อมูลชนิดเลขทศนิยม ใช้เนื้อที่ 16 byte


ฟังก์ชั่นในภาษาซี

ฟังก์ชัน ในภาษาซี มี 2 ชนิด คือ ฟังก์ชันมาตรฐาน(standard function)  กับ ฟังก์ชันที่ผู้เขียนโปรแกรมเขียนขึ้นเอง (user defined function)


ฟังก์ชันมาตรฐาน   เป็นฟังก์ชันที่ผู้ผลิตคอมไพล์เลอร์เขียนขึ้นเพื่อผู้ใช้นำไปใช้ในการเขียนโปรแกรมเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้สะดวกและง่ายขึ้น บางครั้งอาจเรียกว่า library functions  ปกติฟังก์ชันเหล่านี้จะจัดเก็บไว้ใน header files ดังนั้นผู้ใช้จะต้องรู้ว่าฟังก์ชันนั้นอยู่ใน header file ใด จึงจะนำไปเรียกใช้ในส่วนต้นของโปรแกรม ด้วย #include <header file.h> ได้ เช่น #include <stdio.h> ฟังก์ชันมีมากมาย อาจจำแนกดังนี้

ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ เป็นฟังก์ชันที่ใช้ทางการคำนวณ ทางคณิตศาสตร์ ปกติอยู่ใน math.h ผลลัพธ์ ที่ได้จากฟังก์ชันกลุ่มนี้เป็นข้อมูลประเภท double ดังนั้นตัวแปรที่ใช้จึงเป็นพวกที่มีชนิดเป็น double

ฟังก์ชัน sin(x)  เป็นฟังก์ชันใช้คำนวณหาค่าของ sine โดย x มีค่าของมุมในหน่วย เรเดียน

ฟังก์ชัน cos(x) ใช้หาค่า cosine โดย  x มีหน่วยเป็นเรเดียน(radian)

ฟังก์ชัน tan(x) ใช้หาค่า tangent โดย  x มีหน่วยเป็นเรเดียน(radian)



ตัวอย่าง /* math1.c */

#include <stdio.h>

#include <conio.h>

#include <math.h>

main()

{   float deg , angle, pi = 3.141592654;      clrscr();

    printf("Please enter value of angle in degree that you want to find tan cos sin :");

    scanf("%f",&deg);

    angle = deg * pi / 180;   /* เปลี่ยนค่า องศา ให้เป็นเรเดียน  */

    printf("\nvalue of tangent %4.0f degree is %4.2f ",deg,tan(angle));

    printf("\nvalue of sine %4.0f degree is %4.2f ",deg,sin(angle));

    printf("\nvalue of cosine %4.0f  degree is %4.2f ",deg,cos(angle));

}



ฟังก์ชัน sqrt(x)  ใช้หาค่ารากที่สองของ x โดย x เป็นตัวเลขหรือตัวแปรที่ไม่ติดลบ

ฟังก์ชัน exp(x)  ใช้หาค่า ex  โดย e มีค่าประมาณ 2.718282

ฟังก์ชัน  pow(x,y) ใช้หาค่า x y

ฟังก์ชัน log(x)  ใช้หาค่า log ฐาน e เรียกว่า natural logarithm โดย x เป็นตัวเลขหรือตัวแปรที่ไม่ติดลบ

ฟังก์ชัน log10(x)  ใช้หาค่า log ฐาน 10 โดย x เป็นตัวเลขหรือตัวแปรที่ไม่ติดลบ

ฟังก์ชัน ceil(x)  ใช้ในการปัดเศษทศนิยมของ x เมื่อ x เป็นเลขทศนิยม

ฟังก์ชัน floor(x)  ใช้ในการตัดเศษทศนิยมของ x ทิ้งเมื่อ x เป็นเลขทศนิยม

ฟังก์ชัน fabs(x)  ใช้ในการหาค่าสัมบูรณ์ของค่าคงที่หรือตัวแปรที่มีทศนิยม โดยเป็นบวกหรือลบก็ได้



ตัวอย่าง ให้นักเรียนศึกษาการทำงานของโปรแกรม /* math2.c */  แล้วป้อนโปรแกรมและตรวจสอบการทำงานว่าตรงกับที่คาดคะเนหรือไม่

/* math2.c */

#include <stdio.h>

#include <conio.h>

#include <math.h>

main()

{

    double x = 10.0 , y = 2.0 ,z = 16.0,a = 2.718282 , b = -2.718282 , m=1.0;

    clrscr();

    printf("\npow\(x,y\) = %4.2f  when x=10.0 y=2.0", pow(x,y));

    printf("\nsqrt\(z\) = %4.2f  when z=16.0", sqrt(z));

    printf("\nexp\(m\) = %4.6f  when  m=1.0",exp(m));

    printf("\nlog\(a\) = %4.2f  when a=2.718282",log(a));

    printf("\nlog10\(x\) = %4.2f  when x=10.0",log10(x));

    printf("\nceil\(a\) = %4.2f when a=2.718282",ceil(a));

    printf("\nceil\(b\) = %4.2f when b=-2.718282",ceil(b));

    printf("\nfloor\(a\) = %4.2f  when a=2.718282",floor(a));

    printf("\nfloor\(b\) = %4.2f  when b=-2.718282",floor(b));  

    printf("\nfabs\(a\) = %4.6f when a=2.718282" ,fabs(a));

    printf("\nfabs\(b\) = %4.6f when b=-2.718282" ,fabs(b));

}



ฟังก์ชันที่จัดการเกี่ยวกับตัวอักษร(character  functions)  เป็นฟังก์ชันที่จัดการกับตัวอักษร single char เท่านั้น ตัวอักษรนี้ใช้หน่วยความจำเพียง 1 ไบต์  ฟังก์ชันเหล่านี้อยู่ใน header file ชื่อ ctype.h ก่อนจะทำการเขียนโปรแกรมจึงต้อง #include <ctype.h> เข้ามาในส่วนต้นของโปรแกรม




ฟังก์ชัน  isalnum(cha) เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร(ซึ่งคือตัวแปรประเภท char ) เป็นตัวอักขระหรือตัวเลขหรือไม่ ถ้าเป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ฟังก์ชันจะส่งค่าที่ไม่ใช่ 0 มาให้ ถ้าข้อมูลในตัวแปร เป็นอักขระพิเศษอื่นที่ไม่ตัวอักษรหรือตัวเลขจะส่งค่าออกมาเป็น 0

ฟังก์ชัน  isalpha(cha)  เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร(ซึ่งคือตัวแปรประเภท char ) เป็นตัวอักขระหรือไม่ ถ้าเป็นตัวอักษรฟังก์ชันจะให้ค่าที่ไม่ใช่ 0 ออกมาถ้าเป็นตัวเลขหรืออักขระพิเศษอื่นฟังก์ชันจะส่งค่า 0 ออกมา

 ฟังก์ชัน  isdigit(cha)  เป็นฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร(ซึ่งคือตัวแปรประเภท char )  ฟังก์ชัน เป็นตัวเลขหรือไม่ ถ้าเป็นตัวเลขฟังก์ชันจะให้ค่าที่ไม่ใช่  0 ออกมา ถ้าเป็นตัวอักษรหรืออักขระพิเศษอื่น ฟังก์ชันจะส่ง 0 ออกมา



ตัวอย่าง   /* isalnumPhadigit.c */

#include <stdio.h>

#include <ctype.h>

#include <conio.h>

main()

{

    clrscr();

    char cha1 = 'B' ,cha2 ='3',cha3= '&';

    printf("\n %d is return value of isdigit\(cha1\) of %c",isdigit(cha1),cha1);

    printf("\n %d is return value of isdigit\(cha2\) of %c ",isdigit(cha2),cha2);

     printf("\n %d is return value of isalpha\(cha3\) of %c ",isalpha(cha3),cha3);

     printf("\n %d is return value of isalpha\(A\) of %c ",isalpha('A'),'A');

      printf("\n %d is return value of isalpha\('0'\) of %c ",isalpha('0'),'0');

       printf("\n %d is return value of isalpha\('$'\) of %c ",isalpha('$'),'$');

    printf("\n %d is return value of isalnum\(cha1\) of %c",isalnum(cha1),cha1);

    printf("\n %d is return value of isalnum\(cha2\) of %c ",isalnum(cha2),cha2);

    printf("\n %d is return value of isalnum\(cha3\) of %c ",isalnum(cha3),cha3);

    printf("\n %d is return value of isalnum\(A\) of %c ",isalnum('A'),'A');

    printf("\n %d is return value of isalnum\('0'\) of %c ",isalnum('0'),'0');  

    printf("\n %d is return value of isalnum\('$'\) of %c ",isalnum('$'),'$');

    }



ฟังก์ชัน  islower(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าตัวอักขระในตัวแปร cha เป็นตัวพิมพ์เล็กหรือไม่ ถ้าเป็นตัวพิมพ์เล็กฟังก์ชันจะส่งค่ากลับเป็นจำนวนเต็มที่ไม่ใช่ 0 แต่ถ้าไม่ใช่ตัวพิมพ์เล็กจะส่งค่ากลับเป็น 0

ฟังก์ชัน  isupper(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าตัวอักขระในตัวแปร cha เป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือไม่ ถ้าเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ ฟังก์ชันจะส่งค่ากลับเป็นจำนวนเต็มที่ไม่ใช่ 0 แต่ถ้าไม่ใช่ตัวพิมพ์ใหญ่จะส่งค่ากลับเป็น 0

ฟังก์ชัน  tolower(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนตัวพิมพ์ใหญ่ที่เก็บอยู่ในตัวแปรให้เป็นตัวพิมพ์เล็ก

ฟังก์ชัน  toupper(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้เปลี่ยนตัวพิมพ์เล็กที่เก็บอยู่ในตัวแปรให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่



ตัวอย่าง /* upperlower.c */

#include <stdio.h>

#include <ctype.h>

#include <conio.h>

 main()

{

   char cha1 = 'D' , cha2 = 'a' ,cha3 = 'f'  , cha4 = 'N' ;

    clrscr();

    printf("\ncheck cha1 = 'D' is uppercase yes or no : %d ",isupper(cha1));

    printf("\ncheck cha2 = 'a' is lower yes or no : %d ",islower(cha2));

    printf("\ncheck cha2 = 'a' is upper  yes or no : %d ",isupper(cha2));

    printf("\ncheck  'i' is lower yes or no : %d ",islower('i'));

    printf("\ncheck  'L' is uppercase yes or no : %d ",isupper('L'));

    printf("\nchange cha3 = 'f' to  uppercase %c : ", toupper(cha3));

    printf("\nchange cha4 = 'N' to  lowercase %c : ", tolower(cha4));

}



  ฟังก์ชัน  isspace(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร cha เป็น whitespace หรือไม่ whitespace ได้แก่ space ,tab ,vertical tab ,formfeed ,carriage retun ,newline ถ้ามี whitespace  จริง ฟังก์ชันจะส่งค่าไม่เท่ากับ 0  ถ้าไม่จริงจะส่งค่า 0

ฟังก์ชัน  isxdigit(cha)  ฟังก์ชันที่ใช้ตรวจสอบว่าข้อมูลในตัวแปร cha เป็น เลขฐานสิบหก ( คือ 0-9 , A-F , a – f) หรือไม่ ถ้าจริงส่งค่าตัวเลขที่ไม่ใช่ 0 ถ้าไม่จริงส่งตัวเลข 0



  ตัวอย่าง  /*isspaceisxdigit.c */

#include <stdio.h>

#include <conio.h>

#include <ctype.h>

main()

{

    char cha1 ='\r',cha2= '\n',cha3='\v' ,cha4 ='A';

    clrscr();

    printf("\n%d is volue return from isspace %c ",isspace(cha1),cha1);

    printf("\n%d is volue return from isspace %c ",isspace(cha2),cha2);

    printf("\n%d is volue return from isspace %c ",isspace(cha3),cha3);

    printf("\n%d is volue return from isxdigit  %c ",isxdigit(cha4),cha4);

    printf("\n%d is volue return from isxdigit  %c ",isxdigit('0'),'0');

    printf("\n%d is volue return from isxdigit  %c ",isxdigit('g'),'g');

}



ฟังก์ชัน  gotoxy(x,y);  เป็นฟังก์ชันอยู่ใน conio.h ใช้สั่งให้เคอร์เซอร์เคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่ระบุ โดย x คือ ตำแหน่งของสดมภ์บนจอภาพ (คล้ายค่า x ของกราฟ)ค่าเพิ่มจากซ้ายไปขวามีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 79 ตำแหน่งที่ 80 สงวนไว้ไม่ให้ใช้

ส่วน y คือตำแหน่งแถวบนจอภาพนับจากบนลงล่าง มีค่าได้ตั้งแต่ 1 ถึง 24 ตำแหน่งที่25 สงวนไว้

ฟังก์ชัน  clreol();  เป็นฟังก์ชันอยู่ใน conio.h ใช้ลบข้อความตั้งแต่ตำแหน่งที่เคอร์เซอร์อยู่ไปจนจบบรรทัด

ฟังก์ชัน  delline();  เป็นฟังก์ชันอยู่ในconio.h ใช้ลบข้อความทั้งบรรทัดที่เคอร์เซอร์อยู่ไปจนจบบรรทัดและเลื่อนข้อความในบรรทัดล่างขึ้นมาแทน

ฟังก์ชัน  insline();  เป็นฟังก์ชันอยู่ในconio.h ใช้แทรกบรรทัดว่าง 1 บรรทัดใต้บรรทัดที่เคอร์เซอร์อยู่

ฟังก์ชัน system(“dos command”);  เป็นฟังก์ชันอยู่ในstdlib.h ใช้เรียกคำสั่งของ dos ขึ้นมาทำงาน เช่นคำสั่ง cls dir date time

  ฟังก์ชัน  abort();  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้ ยกเลิกการทำงานของโปรแกรมทันทีไม่ว่าจะทำงานสำเร็จหรือไม่ และมีข้อความ Abnomal program termination แสดงทางจอภาพ

ฟังก์ชัน  abs(x);  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้หาค่าสัมบูรณ์ของ x โดย x ต้องเป็นจำนวนเต็ม

ฟังก์ชัน  labs(x);  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้หาค่าสัมบูรณ์ของ x โดย x ต้องเป็นlong integer

ฟังก์ชัน  atoi(s);  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้เปลี่ยนข้อความให้เป็นเลขจำนวนเต็ม

ฟังก์ชัน  atol(s);  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้เปลี่ยนข้อความให้เป็น long integer

ฟังก์ชัน  atof(s);  ฟังก์ชันที่อยู่ใน <stdlib.h> ใช้เปลี่ยนข้อความให้เป็น floating point



ตัวอย่าง  /* atoilf.c */

#include <conio.h>

#include <stdio.h>

#include <stdlib.h>

int main(void)

{    char numstring1[10],numstring2[10],numstring3[10];

    int in1;    float flo1;    long lon1;     clrscr();

    printf("\nEnter number as string1 : ");

   scanf("%s",numstring1);

    printf("\nEnter number as string2 : ");

   scanf("%s",numstring2);

    printf("\nEnter number as string3 : ");

   scanf("%s",numstring3);

   in1 = atoi(numstring1);   flo1 = atof(numstring2);      lon1=atol(numstring3);

    printf("\nnumstring1 =%s change to integer %d ",numstring1,in1);

    printf("\nnumstring2 =%s change to floating point %4.4f ",numstring2,flo1);

    printf("\nnumstring3 =%s change to long integer %d ",numstring3,lon1);

    printf("\nsummation of in1,flo1,lon1 is %6.4f ",in1+flo1+lon1);

    printf("\nsummation of atoi(numstring1),atof(numstring2),atol(numstring2) is %6.4lf:",atoi(numstring1)+atof(numstring2)+atol(numstring3));

    }

ผังงาน Flowchart

ผังงาน Flowchart

ความหมายของผังงาน
ผังงาน (Flowchart) คือ รูปภาพ (Image) หรือสัญลักษณ์(Symbol) ที่ใช้เขียนแทนขั้นตอน คำอธิบาย ข้อความ หรือคำพูด ที่ใช้ในอัลกอริทึม (Algorithm) เพราะการนำเสนอขั้นตอนของงานให้เข้าใจตรงกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ด้วยคำพูด หรือข้อความทำได้ยากกว่า
ผังงานแบ่งได้ 2 ประเภท
1. ผังงานระบบ (System Flowchart)
คือ ผังงานที่แสดงขั้นตอนการทำงานในระบบอย่างกว้าง ๆ แต่ไม่เจาะลงในระบบงานย่อย
2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart)
คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทำงานของโปรแกรม ตั้งแต่รับข้อมูล คำนวณ จนถึงแสดงผลลัพธ์ 
การโปรแกรมแบบมีโครงสร้าง หรือ การโปรแกรมโครงสร้าง ประกอบด้วยอะไรบ้าง 
ผมขอตอบอย่างสั้น ๆ ว่าทุกภาษาต้องมีหลักการ 3 อย่างนี้คือ การทำงานแบบตามลำดับ(Sequence) การเลือกกระทำตามเงื่อนไข(Decision) และ การทำซ้ำ(Loop) แม้ตำราหลาย ๆ เล่มจะบอกว่า decision แยกเป็น if กับ case หรือ loop นั้นยังแยกเป็น while และ until ซึ่งแตกต่างกัน แต่ผมก็ยังนับว่าการเขียนโปรแกรม แบบมีโครงสร้างนั้น มองให้ออกแค่ 3 อย่างก็พอแล้ว และหลายท่านอาจเถียงผมว่าบางภาษาไม่จำเป็นต้องใช้ Structure Programming แต่เท่าที่ผมศึกษามา ยังไม่มีภาษาใด เลิกใช้หลักการทั้ง 3 นี้อย่างสิ้นเชิง เช่น MS Access ที่หลายคนบอกว่าง่าย ซึ่งก็อาจจะง่ายจริง ถ้าจะศึกษาเพื่อสั่งให้ทำงานตาม wizard หรือตามที่เขาออกแบบมาให้ใช้ แต่ถ้าจะนำมาใช้งานจริง ตามความต้องการของผู้ใช้แล้ว ต้องใช้ประสบการณ์ในการเขียน Structure Programming เพื่อสร้าง Module สำหรับควบคุม Object ทั้งหมดให้ทำงานประสานกัน
1. การทำงานแบบตามลำดับ
(Sequence)
รูปแบบการเขียนโปรแกรมที่ง่ายที่สุดคือ เขียนให้ทำงานจากบนลงล่าง เขียนคำสั่งเป็นบรรทัด และทำทีละบรรทัดจากบรรทัดบนสุดลงไปจนถึงบรรทัดล่างสุด สมมติให้มีการทำงาน 3 กระบวนการคือ อ่านข้อมูล คำนวณ และพิมพ์
2. การเลือกกระทำตามเงื่อนไข
(Decision or Selection)
การตัดสินใจ หรือเลือกเงื่อนไขคือ เขียนโปรแกรมเพื่อนำค่าไปเลือกกระทำ โดยปกติจะมีเหตุการณ์ให้ทำ 2 กระบวนการ คือเงื่อนไขเป็นจริงจะกระทำกระบวนการหนึ่ง และเป็นเท็จจะกระทำอีกกระบวนการหนึ่ง แต่ถ้าซับซ้อนมากขึ้น จะต้องใช้เงื่อนไขหลายชั้น เช่นการตัดเกรดนักศึกษา เป็นต้น ตัวอย่างผังงานนี้ จะแสดงผลการเลือกอย่างง่าย เพื่อกระทำกระบวนการเพียงกระบวนการเดียว
3. การทำซ้ำ
(Repeation or Loop)
การทำกระบวนการหนึ่งหลายครั้ง โดยมีเงื่อนไขในการควบคุม หมายถึงการทำซ้ำเป็นหลักการที่ทำความเข้าใจได้ยากกว่า 2 รูปแบบแรก เพราะการเขียนโปรแกรมแต่ละภาษา จะไม่แสดงภาพอย่างชัดเจนเหมือนการเขียนผังงาน ผู้เขียนโปรแกรมต้องจินตนาการด้วยตนเอง

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ ( 3 มิติ )

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบ ( 3 มิติ )

ภาพกราฟิกแบบ 3 มิติ  เป็นภาพกราฟิกที่ใช้โปรแกรมสร้างภาพ 3 มิติโดยเฉพาะ เช่น โปรแกรม 3 Ds max  โปรแกรม  Maya  เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ได้ภาพมีสีและแสงเงาเหมือนจริง เหมาะกับงานด้านสถาปัตย์และการออกแบบต่าง ๆ  รวมถึงการสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนหรือโฆษณาสินค้าต่าง ๆ เช่น การ์ตูน เรื่อง  Nemo  The Bug และปังปอนด์แอนิเมชัน เป็นต้น




ตัวอย่างการออกเเบบ

 ตัวอย่างการออกแบบ
1. เทคโนโลยีที่เป็นการสร้าง ได้แก่ การที่มนุษย์ได้สร้างสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยใช้ความรู้ ทักษะและประสบการณ์ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น


2. เทคโนโลยีที่เป็นวิธีการ ได้แก่ การที่มนุษย์ได้เลือกวิธีการใดวิธีการหนึ่งในการทำงาน เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบาย มีชีวิตที่ง่ายขึ้น เช่น การซักผ้าอาจจะซักด้วยมือหรือใช้เครื่องซักผ้า


ซอฟเเวร์ที่ใช้ในการออกเเบบ2มิติ

โปรแกรมออกแบบ CAD แบบ 2 มิติ QCAD
QCad (โปรแกรมออกแบบ CAD แบบ 2 มิติ ฟรี) : โปรแกรมนี้เป็น โปรแกรมออกแบบ ประเภท CAD 2 มิติ แจกฟรี QCAD ขนาดเล็ก สามารถใช้ออกแบบได้หลากหลาย ใช้งานง่าย มีรูปร่างหน้าตาโดยคล้ายๆ โปรแกรมวาดรูป อย่าง Paint แต่จริงๆ หารู้ไม่ว่ามันคือโปรแกรมออกแบบ ที่มีคุณภาพเทียบเท่า โปรแกรมออกแบบแพงๆ ราคาหลายหมื่นหลายแสนบาทเลยทีเดียว
ภายในโปรแกรม มีรูปทรงหลายรูปทรง วาดรูป ลากเล้น โค้งเว้า วงรี (Ellipse) ลายสลัก (Spline) หรือจะเป็นแบบ Polylines หรือเส้นหลายเหลี่ยม ออกแบบร่างต่างๆ มีรูปแบบตัวอักษร แบบ TrueType Font ที่ใช้ในการออกแบบ มากกว่า 35 แบบ สนับสนุนการออกแบบ วาดรูปแบบชั้น (Layer) มีรูปแบบบล็อกให้เลือก สามารถวาดภาพได้หลากหลาย  สนับสนุนไฟล์ตระกูล .DXF และ .DWG ทั้งการนำไฟล์เข้า และส่งไฟล์ออก (Input / Output) สามารถพิมพ์ออกมาผ่านเครื่องปริ้นเตอร์ได้ที่สนับสนุนทั้ง 2 โหมดคือ พิมพ์ชิดขอบในหน้าเดียวกัน หรือ พิมพ์แบบต่อกันลงบนกระดาษหลายๆ แผ่น หลายๆ หน้าได้อีกด้วย

เทคโนโลยีสะอาด

ทคโนโลยีสะอาด 

เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology : CT) หมายถึง การพัฒนา ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้วัตถุดิบ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดผลกระทบ ความเสี่ยงต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยการลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด และมีของเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบ การใช้ซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนการผลิตควบคู่กันไป
หลักการของเทคโนโลยีสะอาด

เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดเป็นหลักการป้องกันมลพิษ (Pollution Prevention) ที่ใช้หลักการลดของเสียเหลือน้อยที่สุด (Waste Minimization) โดยวิธีการแยกสารมลพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือการเปลี่ยนวัตถุดิบที่ทำให้เกิดผลพลอยได้ที่ไม่เป็นอันตราย รวมทั้งการลดปริมาณและความเข้มข้นขององค์ประกอบในของเสียด้วยการนำไปใช้ซ้ำ (Reuse) หรือการนำกลับไปใช้ใหม่ (Recycle) จนไม่สามารถนำของเสียไปใช้ประโยชน์ได้แล้ว ก็จะนำไปบำบัดให้ถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไป โดยมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง นอกจากนี้ในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้นั้นยังต้องประกอบด้วยทัศนคติที่ดีและการร่วมมือกันอย่างเต็มที่จากบุคคลากรทุกฝ่ายอีกด้วย


5W1H

5W1H

5W1H
5W1 หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้มากที่สุดในระดับสากลสำหรับการรวบรวมข้อมูล,วิเคราะห์และการนำเสนอเป็นกรอบ 5W1H
วิธีนี้จะใช้ในช่วงของกระบวนการนักวิเคราะห์วิศวกรที่มีคุณภาพที่จะเข้าใจและอธิบายความจริงปัญหาใด ๆ หรือปัญหาวิธีการเดียวกันสามารถที่ใช้ในการจัดระเบียบการเขียนของรายงานบทความเอกสารและแม้ทั้งหนังสือ
วิธีการพื้นฐาน

วิธีการนี้พยายามที่จะตอบคำถามพื้นฐานในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ของ: ใครอะไรเมื่อไหร่ที่ไหนทำไมและวิธีการ บางครั้งขึ้นอยู่กับบริบทที่สอง"H"อย่างไร

What.

คือเรื่องหลักของการรวบรวมข้อมูลเหตุผลและการนำเสนอ อาจจะเป็นที่ระบุไว้ในชื่อเรื่องและวัตถุประสงค์ อาจต้องจะกำหนดกระบวนการที่อาจประกอบด้วยส่วนที่เหลือของเอกสาร

Who.

สิ่งแวดล้อมอื่นๆ คนหรือกลุ่มความกังวลมันอาจอธิบายเอกสารหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการหรือขั้นตอน

When.

หมายถึงเมื่อไหร่ในเวลาใดที่เกี่ยวข้อง มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งกับจุดที่เหมาะสมที่จะต้องดำเนินการ บางครั้งมันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของสถานการณ์ของการกระทำตามเงื่อนไข

Where.

เหตุการณ์หรือกระบวนการนั้น เกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ 

Why.

เหตุใดถึงทำสิ่งนั้นหรือ เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์นั้นๆ อาจมีการพิจารณาที่ไม่เกี่ยวข้องอาจจะเกิดจากนโยบายหรือขั้นตอน

How.

เหตุการณ์หรือสิ่งที่ทำนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เมื่ออธิบายนโยบายกระบวนการหรือขั้นตอนอาจ
เป็นส่วนสำคัญที่สุด

Conclusion.

5W1H สามารถนำไปใช้หัวข้อใด ๆ เพื่อรวบรวมวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลจากข้อมูลที่ซับซ้อนทำให้เป็นข้อมูลง่าย

การออกเเบบ

การออกแบบ 

 การวางแผนที่จะสร้าง (เช่นในการเขียนพิมพ์เขียนทางสถาปัตยกรรม, การเขียนแผงวงจร และการเขียนผังปักเย็บ) อย่างไรก็ตามการออกแบบอาจจะกระทำไปพร้อมกับออกแบบได้ (เช่น การปั้นหม้อ, การพัฒนาโปรแกรม และงานกราฟิกดีไซน์)

ผู้ที่ออกแบบจะเรียกว่า นักออกแบบ ซึ่งหมายถึงคนที่ทำงานวิชาชีพในสาขาการออกแบบที่แตกต่างกันไป เช่น นักออกแบบแฟชั่น, นักออกแบบแนวความคิด หรือนักออกแบบเว็บไซต์

การออกแบบนั้นมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาด้าน สุนทรียศาสตร์ ประโยชน์ใช้สอย หลักเศรษฐศาสตร์ และมุมมองสังคมการเมือง ทั้งในสิ่งที่ออกแบบและขั้นตอนการออกแบบ การออกแบบอาจเกี่ยวข้องกับการค้นหาข้อมูล ความคิด การทำแบบจำลอง การปรับเปลี่ยนให้ทำงานร่วมกันได้ และอาจมีการออกแบบใหม่ ขณะที่ความหลายหลายของการออกแบบอาจรวมไปถึง เสื้อผ้า ส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ ตึกระฟ้า เอกลักษณ์กลุ่มบริษัท ขั้นตอนการทำธุรกิจ หรือแม้กระทั่งขั้นตอนการออกแบบเอง

กระบวนการเทคโนโลยี


กระบวนการเทคโนโลยีคืออะไร


ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มีกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นมากมายตามเงื่อนไขและปัจจัยในการดำรงชีวิตของแต่ละคน ทำให้บางครั้งมนุษย์ต้องพบเจอกับปัญหาหรือความต้องการที่จะทำให้การดำรงชีวิตดีขึ้น เราเรียกว่า “สถานการณ์เทคโนโลยี"

การพิจารณาว่าสถานการณ์ใดเป็นสถานการณ์เทคโนโลยี จะพิจารณาจาก 3 ประเด็นคือ เป็นปัญหาหรือความต้องการของมนุษย์ เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม หรือเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์

การแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่พบในสถานการณ์เทคโนโลยี จะต้องใช้ทรัพยากร ความรู้และทักษะต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องมีวิธีการหรือกระบวนการทำงานในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งเรียกกระบวนการนั้นว่า “กระบวนการเทคโนโลยี”


กระบวนการเทคโนโลยีมีกี่ขั้นตอน


กระบวนการเทคโนโลยี เป็นขั้นตอนการทำงานเพื่อสร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการของมนุษย์ กระบวนการเทคโนโลยี ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. กำหนดปัญหาหรือความต้องการ (Identify the problem)
2. รวบรวมข้อมูล (Information gathering)
3. เลือกวิธีการ (Selection)
4. ออกแบบและปฏิบัติการ (Design and making)
5. ทดสอบ (Testing)
6. ปรับปรุงแก้ไข (Modification and improvement)
7. ประเมินผล (Assessment)

ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหาหรือความต้องการ
ขั้นตอนแรกของกระบวนการเทคโนโลยี คือ การกำหนดปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งเป็นการทำความเข้าใจหรือวิเคราะห์ปัญหาหรือความต้องการหรือสถานการณ์เทคโนโลยีอย่างละเอียด เพื่อกำหนดกรอบของปัญหาหรือความต้องการให้ชัดเจนมากขึ้น

ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการที่กำหนดไว้ในขั้นกำหนดปัญหาหรือความต้องการจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ศึกษาจากตำรา วารสาร บทความ สารานุกรม สืบค้นจากอินเทอร์เน็ต ระดมสมองจากสมาชิกในกลุ่ม โดยควรมีการรวบรวมข้อมูลรอบด้านให้ครอบคลุมปัญหาหรือความต้องการ ซึ่งจะทำให้เราสามารถสรุปวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการได้ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้น

ขั้นที่ 3 เลือกวิธีการ
การเลือกวิธีการ เป็นการพิจารณาและเลือกวิธีการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหาหรือความต้องการมากที่สุด โดยใช้กระบวนการตัดสินใจเลือกจากวิธีการที่สรุปได้ในขั้นรวบรวมข้อมูล ประเด็นที่ควรนำมาพิจารณาคือ ข้อดี ข้อเสีย ความสอดคล้องกับทรัพยากรที่มีอยู่ ความประหยัด และการนำไปใช้ได้จริงของแต่ละวิธี เช่น ทำให้ดีขึ้น สะดวกสบายหรือรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ควรพิจารณาคัดเลือกวิธีการโดยใช้กรอบของปัญหาหรือความต้องการมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือก

ขั้นที่ 4 ออกแบบและปฏิบัติการ
การออกแบบและปฏิบัติการเป็นการถ่ายทอดความคิดหรือลำดับความคิดหรือจินตนาการให้เป็นขั้นตอน เกี่ยวกับวิธีการ แก้ปัญหาหรือสนองความต้องการโดยละเอียด โดยใช้การร่างภาพ 2 มิติ การร่างภาพ 3 มิติ การร่างภาพฉาย แบบจำลอง หรือแบบจำลองความคิด และวางแผนการปฏิบัติงานอย่างเป็นขั้นตอน จากนั้นลงมือสร้างตามแนวทางที่ได้ถ่ายทอดความคิดและวางแผนการปฏิบัติงานไว้ ผลงานที่ได้อาจเป็นชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการ

ขั้นที่ 5 ทดสอบ
การทดสอบเป็นการตรวจสอบชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการที่สร้างขึ้นว่ามีความสอดคล้อง ตามแบบที่ได้ถ่ายทอดความคิดไว้หรือไม่ สามารถทำงานหรือใช้งานได้หรือไม่ มีข้อบกพร่องอย่างไร หากผลการทดสอบพบว่า ชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการไม่สอดคล้องตามแบบที่ถ่ายทอดความคิดไว้ ทำงานหรือใช้งานไม่ได้ หรือมีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงแก้ไข จะต้องมีการบันทึกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่นำไปสู่การปฏิบัติงานในขั้นปรับปรุงแก้ไขต่อไป

ขั้นที่ 6 ปรับปรุงแก้ไข
การปรับปรุงแก้ไข เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากขั้นทดสอบว่าควรปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการในส่วนใด ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แล้วจึงดำเนินการปรับปรุงแก้ไขในส่วนนั้น จนกระทั่งชิ้นงานหรือแบบจำลองวิธีการสอดคล้องตามแบบที่ถ่ายทอดความคิดไว้ ทำงานหรือใช้งานได้ ในขั้นตอนนี้อาจจำเป็นต้องกลับไปที่ขั้นตอนออกแบบและปฏิบัติการอีกครั้งเพื่อถ่ายทอดความคิดใหม่หรืออาจกลับไปขั้นตอนรวบรวมข้อมูลและเลือกวิธีการที่เหมาะสมอีกครั้งก็ได้ เพื่อให้ได้สิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการที่เหมาะสมมากขึ้น

ขั้นที่ 7 ประเมินผล
การประเมินผล เป็นการนำชิ้นงานหรือวิธีการที่ได้สร้างขึ้นไปดำเนินการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการที่กำหนดไว้ในขั้นกำหนดปัญหาหรือความต้องการ และประเมินผลที่เกิดขึ้นว่าชิ้นงานหรือวิธีการนั้นสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ หากผลการประเมินพบว่า ชิ้นงานหรือวิธีการไม่สามารถแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการได้ ควรพิจารณาว่าจำเป็นต้องแก้ไขในขั้นตอนใด เพื่อนำไปปรับปรุงตามกระบวนการเทคโนโลยีอีกครั้ง เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บางกิจกรรมอาจไม่ครบทั้ง 7 ขั้นตอนก็ได้ บางกิจกรรมขั้นตอนอาจสลับกันไปบ้างก็ได้แต่เมื่อนำไปใช้แล้ว นักเรียนรู้จักที่จะทำงานเป็นขั้นตอน เป็นระบบ ย้อนกลับมาดู หรือแก้ไขได้ตามขั้นตอนที่ทำไปได้

ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่นๆ

ความสัมพันธ์เทคโนโลยีกับศาสตร์อื่นๆ

            เทคโนโลยีเป็นความรู้สาขาหนึ่งของมนุษย์ว่าด้วยการประยุกต์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งความรู้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ พลังงาน ทักษะต่าง ๆ ในการคิดแก้ปัญหา ออกแบบและสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ดังนั้น กระบวนการเทคโนโลยีจึงต้องอาศัยความรู้จากสาขาวิชาอื่น ๆ มาสนับสนุน เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ช่วยอธิบายหลักทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งต่าง ๆ ความรู้ทางศิลปะช่วยวาดภาพหรือเขียนโครงร่างของสิ่งที่คิดประดิษฐ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม หรือความรู้สาขามนุษย์ช่วยให้เข้าใจความต้องการวัฒนธรรมของสังคมมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนการทำงานทางเทคโนโลยี
  • ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับมนุษย์ศาสตร์
            การทำงานตามกระบวนการทางเทคโนโลยีเริ่มจากวิเคราะห์ความต้องการของตน สื่อสารความต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจ และเสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งต้องอาศัยทักษะการพูด อ่านและเขียน ลักษณะพฤติกรรมการเรียนรู้เทคโนโลยีต้องอาศัยทักษะทางภาษาซึ่งเป็นศาสตร์ของมนุษย์ศาสตร์ ดังนี้
                1. ทักษะการฟัง พูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางเทคโนโลยีกับคนอื่น ๆ ในการทำกิจกรรม
                2. ทักษะการเขียน นำเสนอข้อมูลเชิงสัญลักษณ์ หรืออธิบายแนวคิดของตน
                3. ทักษะการสรุป กิจกรรมเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการร่างโครงการและการอธิบายกระบวนการ ทำงานจนได้ชิ้นงาน การเขียนข้อสรุปจึงเป็นสิ่งสำคัญของเทคโนโลยี
  • ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับสังคมศาสตร์
            ผู้เรียนต้องเข้าใจประวัติความเป็นมาทั้งอดีตจนถึงปัจจุบันและเทคโนโลยีในอนาคตช่วยสร้างสรรค์มนุษยชาติ จึงต้องให้ผู้เรียนตระหนักถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกที่ดีของสังคม โดยกิจกรรมดังนี้
                - สำรวจบทบาทเทคโนโลยีต่อสังคม
                - การจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้สนองความต้องการได้อย่างฉลาด
                - เข้าใจข้อจำกัดของปัจจัยต่าง ๆ ทางสังคม ค่านิยม โครงสร้างสังคม โดยนำสิ่งเหล่านี้มาประกอบการตัดสินใจในกิจกรรมทางเทคโนโลยี
                - วิจัย ศึกษา วิเคราะห์การใช้เทคโนโลยีในสังคม ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไรบ้าง
                - การตระหนักถึงการใช้ทรัพยากร สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
                - วิจัยศึกษา วิเคราะห์ผลกระทบการใช้เทคโนโลยีต่อสังคม

ความสำคัญเเละบทบาทของเทคโนโลยี


ความสำคัญเเละบทบาทของเทคโนโลยี

  • เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ 
  • เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา 
  • เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ 

       ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา  วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นจนสามารถสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ซึ่งก็คือ การเรียนรู้ การผลิตและ การใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่  ให้เกิดผลทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง  สิ่งแวดล้อม  และวัฒนธรรม  เทคโนโลยีทำให้สังคมโลกที่เรียบง่าย กลายเป็นสังคมที่มีการดำรงชีวิตที่สลับซับซ้อนมากขึ้น  ก่อให้เกิดกระแสแห่งความไร้พรมแดน  หรือกระแสโลกาภิวัฒน์ ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็ว  จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ อันเป็นการผสมผสาน 4 ศาสตร์ เข้าด้วยกันได้แก่ อิเล็อทรอนิกส์  โทรคมนาคม  และข่าวสาร  (Electronics , Computer ,Telecomunication and Information หรือเรียกย่อ ๆ ว่า ECTI ) ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว  สามารถรับรู้ข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่าง  ๆ ได้พร้อมกัน  สามารถบริหารจัดการและตัดสินใจได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และธุรกรรมการเงินทได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเทคโนโลยีกำลังทำโลกใบนี้ “เล็กลง” ทุกขณะ

ความหมายของเทคโนโลยี

ความหมายของเทคโนโลยี

เทคโนโลยี  หมายถึง  การนำความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้นามธรรมเช่น ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น